ปรัชญา “บิอฺษะฮฺ” การแต่งตั้งศาสดาคืออะไร ?
ขอกล่าวแสดงความยินดีในวโรกาสอีดมับอัษ วันแห่งการรำลึกถึงหน้าประวัติศาสตร์สำคัญที่สุดในอิสลามสำหรับมนุษยชาติ เพราะคือวันเริ่มต้นแห่งการที่จะทำให้มนุษย์มี “สะอาดะฮฺ” ความผาสุกที่แท้จริงทั้งดุนยาและอาคิเราะฮฺ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีหน้าประวัติศาสตร์ใดจะสำคัญและยิ่งใหญ่ไปกว่า “บิอฺษะฮฺ” การแต่งตั้งท่านศาสดา (ศ)
ปรัชญา “บิอฺษะฮฺ” การแต่งตั้งศาสดาคืออะไร ?
กุรอานที่ปราศจากนุบูวะฮฺ (บิอฺษะฮฺ), นุบูวะฮฺ (บิอฺษะฮฺ) ที่ปราศจากอิมามะฮฺ, อิมามะฮฺที่ปราศจากวิลายะฮฺ (อัลฟะกีฮฺ) มีค่าเท่ากับสูญ....คือสูญ
บิอฺษะฮฺให้อะไรกับเรา ? ลำพังกุรอานไม่เพียงพออีกหรือ ? ทำไมต้องมีนบีเพิ่มมาอีก ? จำเป็นด้วยหรือที่ต้องมีนบี ? เหมือนกับวาทกรรมของใครบางคนที่กลายเป็นคำขวัญเป็นสโลแกน حَسْبُنَاكِتَابُ اللَّهِ จนเป็นที่มาของพฤหัสวิปโยค และสิ่งที่ท่านนบีจะวะศียะฮฺสั่งเสียครั้งสุดท้ายไม่กลายเป็นจริง
ผลพวงของบิอษะฮทำให้ท่านอิมามประกาศชัดเจน No East No West Only Islam ยุคสงครามเย็นในทศวรรษ 70 สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต ไม่ว่าจะเกิดสงครามกี่ครั้ง สองมหาอำนาจจะอยู่คนละขั้วกันอย่างชัดเจน แต่ใครจะเชื่อว่าในสงครามที่ซัดดัมนำอิรักบุกอิหร่าน มหาอำนาจทั้งสองจับมือกันสนับสนุนอิรักให้ถล่มอิหร่าน ฝ่ายหนึ่งให้อาวุธยุทโธปกรณ์ อีกฝ่ายให้การช่วยเหลือด้านสื่อสารการข่าว...ตัวอย่างผลลัพธ์จากบิอษะฮ... ปธน.คนแรกของรัฐอิสลามที่ชื่อบะนีศ็อดรฺเป็นมุนาฟิก ที่หนีไปซบซาตานตะวันตก และเลขา สมช.คนแรกของรัฐอิสลามก็มุนาฟิก ถึงขนาดพกระเบิดเพื่อเข้าพบเพื่อหวังจะสังหารท่านอิมามโคมัยนีย์ เลขา สมช คนนี้ไม่ธรรมดาเป็นเพื่อนซี้กับนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือท่านชะฮีดราญาอีย์ (ขนาดเพื่อนซี้ที่อยู่กับการปฏิวัติยังไม่รู้ว่าเพื่อนของตนเป็นคนมุนาฟิก) ตรงนี้ต้องการจะบอกกับเราว่า “ลำพังคัมภีร์อัลกุรอานที่ปราศจากนุบูวะฮฺ นุบูวะฮฺที่ปราศจากอิมามะฮฺ อิมามะฮฺที่ปราศจากวิลายะฮฺ (อัลฟะกีฮฺ) ศรัทธาชนจะจำแนกแยกแยะได้อย่างไรว่าอันไหนถูกอันไหนผิด ?
เพราะบรรทัดฐานของอัลกุรอานที่ถูกต้อง ต้องอาศัยท่านนบี บรรทัดฐานที่ชัดเจนของท่านนบี ต้องอาศัยอิมามอะลีและอะฮฺลุลบัยต์
และในยุคที่อิมามมะฮฺดีย์ฆ็อยบะฮฺเร้นกาย บรรทัดฐานที่ชัดเจนของอิมามอะลีและอะฮฺลุลบัยต์ ต้องอาศัยวิลายะตุลฟะกีฮฺ
ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามมะฮฺดีย์จึงฝาก “เชคอบูอัมรฺ” นาอิบุลเอาวัล (ตัวแทนท่านแรก) ให้มาบอกต่อ ๆ ถึงเราว่าในยุคสมัยที่ท่านฆ็อยบะฮฺ จะต้องจดจำดุอาอ์บทนี้
أَللّهمَّ عرِّفْنِي نَفْسَكَ، فَإِنَّكَ إِنْ لَمْ تُعَرِّفْنِي نَفْسَكَ لَمْ أَعْرِفْ رَسُولَكَ،
أَللّهمَّ عَرِّفْنِي رَسُولَكَ فَإِنَّكَ إِنْ لَمْ تُعَرِّفْنِي رَسُولَكَ لَمْ أَعْرِفْ حُجَّتَكَ،
أَللّهمَّ عَرِّفْنِي حُجَّتَكَ فَإِنَّكَ إِنْ لَمْ تُعَرِّفْنِي حُجَّتَكَ ضَلَلْتُ عَنْ دِينِي،
أَللّهمَّ لاَ تُمِتْنِي مِيتَةً جَاهِلِيَّةً، وَلاَ تُزِغْ قَلْبِي بَعْدَ إِذْ هَدَيْتَنِي،
โปรดอย่าหันเหหัวใจของข้าหลังจากที่พระองค์ทรงฮิดายะฮฺทางนำ (แห่งวิลายะฮฺอะฮฺลุลบัยต์) แก่ข้า
اللَّهُمَّ صَلِّ عَلَىٰ فَاطمَة وَأبِيهَا وَبَعْلِهَا وَبَنِيهَا والسِّرِّ المُسْتَوْدَعِ فِيها بِعَدَدِ ما اَحَاطَبِهِ عِلْمُكَ
#ปรัชญาบิอฺษะฮฺในมุมมองของหะดีษ
มนุษย์จะใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างมีความสงบสุขไม่ได้โดยปราศจากผู้ถือสาสน์ เพราะลำพังคัมภีร์อัลกุรอานที่ไม่มีศาสดามาอรรถาธิบายในทาง “อะมะลีย์” วัตรปฏิบัติ ถามว่ามนุษย์จะเข้าใจเองได้อย่างไร ?
อิมามศอดิก กล่าวถึงปรัชญาของการแต่งตั้งบรรดาศาสดาว่า “บรรดาศาสดาคือผู้สื่อสารของอัลลอฮฺในท่ามกลางมวลมนุษย์” เพื่อให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสันติสุขถูกครรลองคลองธรรม และให้พวกเขาคงไว้ซึ่งเจเนอเรชันใหม่ ๆ
อิมามอะลีกล่าวถึงปรัชญาของบิอฺษะฮฺในนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ “เพื่อปลดปล่อยให้มนุษย์หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งการตกเป็นทาส และปลดปล่อยตัวตนให้เป็นอิสรภาพจากการอิฏออัตและอิบาดัตสักการะมัคลูกอตสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย (ทั้งเจว็ดที่เป็นมนุษย์ (ฏอฆูตทรราช) และเจว็ดที่เป็นรูปปั้น)”
๑. หลังจากได้รับการแต่งตั้ง และท่านนบี (ศ) ได้ดะอฺวะฮฺตับลีฆประกาศเชิญชวนประชาชนอย่างเปิดเผย ผู้มีอิทธิพลอาหรับกุเรชได้พากันไปพบท่านอบูฏอลิบ (อ) และกล่าวว่า “โอ้ อบูฏอลิบ หลานของท่านกำลังทำให้สมองของพวกเราปั่นป่วน (หาว่าพวกเราเป็นคนแก่ที่ไร้สมอง) และพูดจาไม่ให้เกียรติกับเจว็ดรูปเคารพของเรา ทำให้เยาวชนของเราอลเวง ทำให้สังคมของเราแตกเป็นเสี่ยง ๆ ถ้าการกระทำเช่นนี้เป็นเพราะความลำบากยากเข็ญ อยากได้ทรัพย์สินเงินทอง หรือต้องการ “กุดรัต” อำนาจบารมี เราพร้อมจะประเคนให้ชนิดไม่อั้น เพื่อทำให้เขาเป็นมหาเศรษฐีลำดับต้น ๆ ของอาหรับ ยิ่งไปกว่านั้นเราพร้อมที่จะยกให้เขาเป็น “อมีรฺ” ผู้นำ กษัตริย์ของเรา เมื่ออบูฏอลิบนำสารนั้นไปบอกท่านนบี นี่คือคำตอบที่เต็มไปด้วยตรรกะในมิติอะกีดะฮฺที่เป็นบทเรียนกับพวกที่หวังจะได้อำนาจบารมีจากผู้ปกครองกาฟิรฺ
«لَوْ وَضَعُوا الشَّمْسَ فِى يَمينِى وَ الْقَمَرَ فِى يَسارِى مَا اَرَدْتُهُ
وَ لكِنْ كَلِمَةٌ يُعْطُونِيهَا يَمْلِكُونَ بِهَا الْعَرَبُ وَ تَدِينُ بِهَا الْعَجَمُ وَ يَكُونُونَ مُلُوكاً فِى الْجَنَّةِ فَقَالَ لَهُمْ اَبُوطَالِبُ ذلِكَ فَقَالُوا: نَعَمْ وَ عَشرَ كَلِمَات
فَقَالَ لَهُمْ رَسُول الله: تَشْهَدُونَ اَنْ لاَ اِلهَ اِلاّ اللهُ وَ اَنِّى رَسُولُ اللهِ»(1)
“มาตรว่าพวกเขานำดวงตะวันมาวางบนมือข้างขวาของฉัน และนำดวงจันทร์มาวางบนมือข้างซ้ายของฉัน ฉันก็ไม่ต้องการมัน (ขอปฏิเสธทุกอำนาจทุกตำแหน่งอย่างสิ้นเชิง)...แล้วท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) กล่าวกับอาหรับกุเรชเหล่านั้นว่า “จงยืนยันปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และแท้จริงฉัน (นบีมุฮัมมัด) เป็น “เราะสูลุลลอฮฺ”
๒. ฮิชาม อิบนุหะกัม รายงานว่าท่านอิมามญะอฺฟัรฺ ศอดิก (อ) ตอบคำถามพวกกุฟฟารฺที่ถามเกี่ยวกับปรัชญาของบิอฺษะฮฺการแต่งตั้งนบีและอันบิยาอ์ว่า “เมื่อเราได้พิสูจน์แล้วว่าโลกและจักรวาลมี “คอลิก” เอกองค์ผู้ทรงสร้าง และ “ร็อบ” พระผู้อภิบาล และพระองค์ทรงเหนือกว่า “มัคลูกอต” สรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย และดวงตาทั้งหลายไม่อาจมองเห็น “ร็อบ” พระผู้อภิบาลผู้ทรงมหิทธานุภาพ ผู้ทรงวิทยปัญญา และไม่อาจสัมผัสโดยตรง “มุสตะกีม” กับพระองค์ได้ ย่อมเป็น “หุจญะฮฺ” หลักฐานข้อพิสูจน์ว่า “มุฮัมมัด” คือศาสนทูตผู้ถือสาสน์มาในท่ามกลางปวงบ่าวของพระองค์ เพื่อประกาศบทบัญญัติคำสั่งห้ามคำสั่งใช้ให้พวกเขาปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สูงสุดของพวกเขา และเพื่อธำรงไว้ซึ่งเจเนอเรชันต่อไป และการปฏิเสธสิ่งนั้นจะทำให้พวกเขาประสบกับความขาดทุนอย่างยับเยิน”
«وَ يَدُلُّونَهُمْ عَلَى مَصَالِحِهِمْ وَ مَنَافِعِهِمْ وَ مَا بِهِ بَقَائُهُمْ وَ فِى تَرْكِهِ فَنَائُهُمْ».(2)
๓. ท่านอมีรุลมุอ์มินีน อิมามอะลีกล่าวถึงปรัชญาของบิอฺษะฮฺในนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺอย่างน่าสนใจว่า
«فَبَعَثَ فيهِمْ رُسُلَه وَ وَاتَرَ اِلَيْهِمْ اَنْبِيَائَهُ، لِيَسْتَاْدُوهُمْ مِيثاقَ فِطْرَتِهِ وَ يُذَكِّرُوهُمْ مَنْسِىَّ نِعْمَتِهِ وَ يَحْتَجُّوا عَلَيْهِمْ بِالتَّبْلِيغِ وَ يُثِيرُوا لَهُمْ دَفَائِنَ الْعُقُولِ»(3)
“พระองค์ทรงแต่งตั้งศาสนทูตทั้งหลายเพื่อมาปลดปล่อยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งการตกเป็นทาส และปลดปล่อยตัวตนให้เป็นอิสระชนจากการอิฏออัตและอิบาดัตมัคลูกอตสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย (ทั้งเจว็ดที่เป็นมนุษย์ (ฏอฆูตทรราช) และเจว็ดที่เป็นรูปปั้น)”
وَ يُذَكِّرُوهُمْ مَنْسِىَّ نِعْمَتِهِ “เพื่อเตือนสำทับให้พวกเขาได้รำลึกถึงนิอฺมัตความโปรดปรานของพระองค์ที่ถูกลืม”
وَ يَحْتَجُّوا عَلَيْهِمْ بِالتَّبْلِيغِ “และด้วยการตับลีฆเชิญชวนไปสู่การปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ จะทำให้หุจญะฮฺหลักฐานข้อพิสูจน์สิ้นสงสัย
وَ يُثِيرُوا لَهُمْ دَفَائِنَ الْعُقُولِ “และสร้างขุมทรัพย์ทางสติปัญญาให้ปรากฏชัดกับพวกเขา”
๔. “ฉันถูกส่งมาเพื่อทำให้อัคล๊ากศีลธรรมถูกต้องสมบูรณ์”
«اِنَّمَا بُعِثْتُ لِأُتَمِّمَ صَالِحَ الاَخْلاقِ»(4)؛
“ฉันถูกส่งมาเพื่อทำให้อัคล๊ากศีลธรรมอันดีงามสมบูรณ์” (5)
«بُعِثْتُ لِأُتَمِّمَ مَكَارِمَ الاَخْلاَقِ».(5)
อัลกุรอานกล่าวถึงเป้าหมายในการบิอฺษะฮฺแต่งตั้งบรรดาศาสดาว่าอย่างไร ?
เพื่อเรียกร้องเชิญชวนมวลมนุษย์ให้ตอบรับการมีชีวิตที่ถูกครรลองคลองธรรมอย่างสมบูรณ์
«يَا اَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اسْتَجِيبُوا للهِ وِ لِلرَّسُولِ اِذا دَعَاكُمْ لِمَا يُحْيِيكُمْ».
“โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา ! จงตอบรับคำเรียกร้องของอัลลอฮฺ และร่อซูล เมื่อเขาได้เชิญชวนพวกเจ้าสู่สิ่งที่ทำให้พวกเจ้ามีชีวิต (ที่นิรันดรในโลกหน้า) (อัลอันฟาล ๘ ๒๔)
โองการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป้าหมายของการบิอฺษะฮฺศาสดา เพื่อทำให้การใช้ชีวิตของมนุษย์อยู่ในครรลองคลองธรรม เป็นชีวิตที่มีจิตวิญญาณ ไม่ใช่ชีวิตที่ตายซากเหมือนศพที่เดินได้ เป็นชีวิตที่สมดุลระหว่างวัตถุกับจิตวิญญาณ ชีวิตที่มีทั้งมิติทางเศรษฐกิจและมิติทางศีลธรรม ชีวิตที่มีทั้งมิติในทางการเมืองสังคมและจริยธรรม
أَوَمَن كَانَ مَيْتًا فَأَحْيَيْنَاهُ وَجَعَلْنَا لَهُ نُورًا يَمْشِي بِهِ فِي النَّاسِ
كَمَن مَّثَلُهُ فِي الظُّلُمَاتِ لَيْسَ بِخَارِجٍ مِّنْهَا ۚ
“มัยยิต” (คนตาย ในที่นี้หมายถึงกาฟิรฺผู้ปฏิเสธ) แล้วเราได้ให้ “หะญาต” เขามีชีวิต (ในที่นี้หมายถึงเป็นผู้ศรัทธา) และเราได้ให้แสงสว่างทางนำแก่เขา ซึ่งเขาอาศัยแสงสว่างเดินไปในหมู่มนุษย์ จะเหมือนกับผู้ที่ตกอยู่ใน “ซุลุมาต” ความมืดและไม่สามารถสะบัดตนออกจากความมืดนั้นได้อย่างไร ? (อัลอันอาม ๖ ๑๒๒)
“หะญาต” ชีวิตในที่นี้ตามหะดีษมากมายกล่าวว่าหมายถึงการยอมรับในวิลายะฮฺอะลี อิบนุอบีฏอลิบ (๓) تفسير نورالثقلين เพราะหลังจากท่านนบี ประชาชาตินี้ส่วนใหญ่ที่ไม่ยอมรับในวิลายะฮฺอะลี ที่แท้ก็คือ “มัยยิต” ซากศพหรือคนที่ตายแล้ว ในทางกลับกัน การยอมรับในวิลายะฮฺอะลีและอะฮฺลุลบัยต์นบี โดยสารัตถะก็คือการยอมรับแก่นแกนของอิสลามนั่นเอง เพราะวิลายะฮฺอะลีคือการตอบรับการเรียกร้องเชิญชวนไปสู่ “อิลม์” ความรู้ที่ถูกต้องของท่านนบี “ซุฮฺด์” ความสันโดษความสมถะตามครรลองที่ถูกต้อง “ตักวา” ความสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ “อีษาร” การพลีอุทิศ และ “อิคลาศ” การมีจิตที่พิสุทธิ์เพื่อพระองค์ (๔)
“มุศีบัตที่ประสบกับพี่น้องในฉนวนกาซ่า” คือโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติ ที่สำแดงให้ประจักษ์ว่าระเบียบโลกในปัจจุบันนั้นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์และจะต้องถูกทำลาย
“มับอัษ” คือภารกิจหลักไม่เฉพาะกับท่านนบีและอะอิมมะฮฺมะอฺศูมีน ทว่า มันคือภารกิจหลักสำหรับเราทุกคน
สิ่งสำคัญลำดับต้นก็คือการเรียนรู้คำสอนอิสลามและ “ตัซกียะฮฺ” ขัดเกลาตัวเรา เพราะเราคือหนึ่งใน “มุคอฏ็อบ” ผู้ที่พระองค์ทรงกล่าวถึง
ในช่วงวันแรก ๆ ท่านนบีได้เรียกร้องเชิญชวนประชาชนให้หลุดพ้นจากการกราบไหว้บูชาเจว็ด ทั้งเจว็ดที่เป็นวัตถุ และเจว็ดที่เป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจว็ดที่ใกล้ตัวเราที่สุด ซึ่งก็คือตัวเรานี่แหละ เจว็ดที่ฝังอยู่ในกมลสันดานของเรา “เจว็ดนัฟสู” เจว็ดอารมณ์ฝ่ายต่ำของเรา อันดับแรกจึงต้อง “อิศลาห์” ปฏิรูปปรับปรุงตัวเราก่อน แล้วค่อย ๆ “อิศลาห์” ปฏิรูปสังคมไปพร้อม ๆ กัน
ท่านนบีถูกส่งมาในฐานะผู้เรียกร้องเชิญชวน แต่ตราบเท่าที่คนที่ได้ยินได้ฟังอย่างเราไม่ตอบรับคำเรียกร้องเชิญชวนนั้น ผลลัพธ์ทั้งในทางปัจเจกชนและในทางสังคมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ที่ท่านอิมามโคมัยนีย์ประสบความสำเร็จในการปฏิวัติอิสลามหลังจากวันเวลาผ่านมากว่า ๑๓ ศตวรรษ เกิดจากการที่ท่านอิมามและประชาชาติอิสลามได้ยินได้ฟังและตอบรับคำเรียกร้องเชิญชวนของท่านนบี และนี่คือคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของ “บิอฺษะฮฺ”
หลังการปฏิวัติ เมื่อประชาชาติชาวอิหร่านตอบรับคำเรียกร้องเชิญชวนของท่านอิมามโคมัยนีย์ ทำให้การปฏิวัตินั้นดำเนินมาได้กว่า ๔๕ ปีในวันนี้ จึงสรุปได้ในตรงนี้ว่า “การปฏิวัติอิสลามอิหร่านคือผลลัพธ์จาก “บิอฺษัต” ท่านนบี” และ “การที่การปฏิวัตินี้ดำรงอยู่ได้คือผลลัพธ์ที่เกิดจากการที่ประชาชาติอิหร่านตอบรับคำเรียกร้องเชิญชวนของท่านอิมาม”
พี่น้องครับ ณ ตอนนี้ อัลลอฮฺและท่านนบียังคงเรียกร้องเราอยู่
هُوَ الَّذِي بَعَثَ فِي الْأُمِّيِّينَ رَسُولًا مِّنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِن كَانُوا مِن قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ ﴿٢﴾
พระองค์ทรง “บิอฺษะฮฺ” แต่งตั้งร่อซูลคนหนึ่งในหมู่ผู้ไม่รู้หนังสือ
يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ เพื่อสาธยายโองการทั้งหลายของพระองค์แก่พวกเขา
وَيُزَكِّيهِمْ และทรง “ซักกียะฮฺ” ขัดเกลาพวกเขาให้ผ่องแผ้ว
وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ และทรงสอนคัมภีร์และ “หิกมะฮฺ” วิทยปัญญาและความสุขุมคัมภีร์ภาพแก่พวกเขา
وَإِن كَانُوا مِن قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ โดยที่ก่อนหน้านี้พวกเขา ضَلَالٍ مُّبِينٍ อยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง
وَآخَرِينَ مِنْهُمْ لَمَّا يَلْحَقُوا بِهِمْ ۚ وَهُوَ الْعَزِيزُ الْحَكِيمُ ﴿٣﴾
และกลุ่มชนอื่นในหมู่พวกเขาที่จะติดตามมาหลังจากพวกเขา และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
وَآخَرِينَ مِنْهُمْ لَمَّا يَلْحَقُوا بِهِمْ เราคือผู้ที่พระองค์ทรงเรียกร้องในโองการนี้ เมื่อได้ยินได้ฟัง ขึ้นอยู่กับเราว่าจะ “ตอบรับ” หรือ “ปฏิเสธ”
นี่คือหนึ่งในจุดไคลแมกซ์ของ “อีดมับอัษ” ต้องตระหนักว่าเราคือหนึ่งในผู้ที่พระองค์ทรงเรียกร้อง หากเราไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ โองการนี้จะหมายถึงเราทันที
مَثَلُ الَّذِينَ حُمِّلُوا التَّوْرَاةَ ثُمَّ لَمْ يَحْمِلُوهَا كَمَثَلِ الْحِمَارِ يَحْمِلُ أَسْفَارًا ۚ
อุปมาบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์เตารอต (พวกยิวไซออนิสต์อิสราเอล) แต่พวกมันไม่ปฏิบัติตาม อุปมัยดั่งลา (โง่) ที่แบกคัมภีร์ (อันหนักอึ้งบนหลังของมัน)
بِئْسَ مَثَلُ الْقَوْمِ الَّذِينَ كَذَّبُوا بِآيَاتِ اللَّهِ ۚ وَاللَّهُ لَا يَهْدِي الْقَوْمَ الظَّالِمِينَ
ช่างชั่วช้าซะนี่กระไร อุปมากลุ่มชนที่ كَذَّبُوا بِآيَاتِ اللَّهِ อุปมาหมู่ชนที่ปฏิเสธโองการของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺจะไม่ “ฮิดายะฮฺ” ชี้นำ “ซอลิมีน” พวกอธรรม” (อันหมายถึงพวกยิวไซออนิสต์ในปัจจุบัน)
“มุศีบัตที่อุบัติกับพี่น้องในฉนวนกาซ่า ณ วันนี้” เป็นสิ่งที่สร้างความสะเทือนใจไม่เพียงต่อโลกอิสลามเท่านั้น ทว่า มันได้สร้างความสั่นสะท้านให้มนุษยชาติและชาวโลกทั้งมวลด้วย
“มุศีบัตโศกนาฏกรรมในฉนวนกาซ่า” สำแดงให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่า “ระเบียบโลกใหม่” ของจักรวรรดินิยม เป็นสิ่งที่โมฆะบาฏิลที่จะต้องจัดการทำลายให้สิ้นซาก
“มุศีบัตโศกนาฏกรรมในฉนวนกาซา” ได้กระชากหน้ากากอารยธรรมอันบัดซบของพวกตะวันตกอย่างแท้จริง
อารยธรรมที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนโหดร้ายที่ปรากฏต่อสายตาชาวโลก อารยธรรมที่เงียบสนิททั้ง ๆ ที่เด็ก ๆ สตรี คนชราถูกฆ่าในขณะที่นอนป่วยนอนบาดเจ็บอยู่ในโรงพยาบาล
อารยธรรมที่เห็นเต็มตาว่าเด็ก ๆ ถูกเข่นฆ่านับร้อย ๆ ศพภายในค่ำคืนเดียว
อารยธรรมที่เห็นเต็มตาว่าผู้คนถูกเข่นฆ่ากว่า ๓๐,๐๐๐ ศพภายในเวลาเพียงสามสี่เดือน ศพเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรี
ตัวที่อยู่เบื้องหลังรัฐเถื่อนไซออนิสต์อิสราเอลไม่มีใครหรอกนอกจากมหาซาตานอเมริกาและสมุนบริวารของมัน
ถึงขนาดที่รัฐเถื่อนไซออนิสต์อิสราเอลออกมาสารภาพเองว่า “ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนทางอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐ สงครามครั้งนี้รัฐไซออนิสต์อิสราเอลไม่สามารถดำรงอยู่ได้แม้แค่วันเดียว”
ทางออกทางเดียวเท่านั้นคือมหาอำนาจของโลกจะต้องถอนตัวออกไป และปล่อยให้นักสู้ชาวปาเลสไตน์จัดการในสมรภูมิสงคราม
ทางออกอีกทางหนึ่งเกี่ยวกับปัญหากาซ่าปาเลสไตน์ คือการที่รัฐบาลทั้งหลายจะต้องตัดสัมพันธ์ทางการทูต การโฆษณาชวนเชื่อ และตัดการสนับสนุนทางอาวุธ สินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหลายให้กับรัฐเถื่อนไซออนิสต์อิสราเอลลงอย่างสิ้นเชิง นี่คือหน้าที่ของรัฐบาลทั้งหลาย
ทางออกประการสุดท้ายคือการที่ประชาชาติทั้งหลายจะต้องช่วยกันกดดันรัฐบาลของตนไม่ให้การสนับสนุนรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ซึ่งถือเป็นภารกิจร่วมกันของผู้ที่รักความเป็นธรรม ผู้ที่รักในสิทธิมนุษยชน อินชาอัลลอฮฺ ด้วย “เตาฟีกอิลาฮีย์” ชาวฉนวนกาซ่าปาเลสไตน์จะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
เมื่อมนุษย์ในยุคหลังจากท่านนบีอีซาผ่านมากว่า ๕๐๐ ปีถึงทางตันหันไปกราบไหว้บูชาเจว็ด สักการะบูชาพระเจ้าจอมปลอมนับร้อยนับพันพระเจ้า และใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานแห่งยุคญาฮิลียะฮฺอนารยชน พระองค์จึงส่งศาสนทูตสุดท้ายมาเพื่อเรียกร้องพวกเขามาสู่การใช้ชีวิตที่สันติสุขในครรลองอิสลาม
ท่านอมีรุลมุอ์มินีน อะลี ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ใน “นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ”
إِلَى أَنْ بَعَثَ اللَّهُ سُبْحَانَهُ مُحَمَّداً رَسُولَ اللَّهِ
لِإِنْجَازِ عِدَتِهِ وَ إِتْمَامِ نُبُوَّتِهِ
จนกระทั่งอัลลอฮฺทรง “บิอฺษะฮฺ” แต่งตั้ง “มุฮัมมัด” ให้เป็น “ศาสนทูตของพระองค์” เพื่อให้มาปฏิบัติภารกิจตามที่พระองค์ทรงมอบหมาย
๑. لِإِنْجَازِ عِدَتِهِ เพื่อปฏิบัติภารกิจตามที่พระองค์ทรงมอบหมาย
๒. وَ إِتْمَامِ نُبُوَّتِهِ และทำหน้าที่ความเป็นศาสดาให้สมบูรณ์
ดังที่เราได้อ่านในดุอาอ์นุดบะฮฺทุกเช้าวันศุกร์กับวันอีดทั้งสาม
إِلى أَنِ انْتَهَیْتَ بِالْأَمْرِ إِلى حَبیبِکَ وَ نَجیبِکَ مُحَمَّدٍ صَلَّى اللَّهُ عَلَیْهِ وَ آلِهِ»
“จนกว่าพระองค์จะทรงให้พระบัญชาไปยังศาสดามุฮัมมัดผู้เป็นสุดที่รัก ผู้อยู่ในตระกูลอันสูงส่ง”
«وَ وَعَدْتَهُ أَنْ تُظْهِرَ دینَهُ عَلَى الدّینِ کُلِّهِ وَ لَوْ کَرِهَ الْمُشْرِکُونَ
“และที่พระองค์ทรงสัญญากับท่านศาสดาว่า พระองค์จะทรงทำให้ศาสนาของเขาเหนือกว่าศาสนาทั้งหลาย ถึงแม้ “มุชริกีน” พวกบูชาเจว็ดทั้งหลายจะชิงชัง”
สอดคล้องตรงกับที่พระองค์ทรงกล่าวในโองการ
هُوَ الَّذِي أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَىٰ وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ وَلَوْ كَرِهَ الْمُشْرِكُونَ ﴿٣٣﴾
“พระองค์คือผู้ส่งศาสนทูตของพระองค์มาพร้อมกับ “ฮุดา” คำชี้นำด้วยคำสอนศาสนาแห่งสัจธรรม เพื่อจะทรงให้ศาสนานั้นเป็นที่ประจักษ์ เหนือทุกศาสนา แม้ว่าบรรดามุชริกีนพวกบูชาเจว็ดจะชิงชังก็ตาม”
ศาสนาแห่งสัจธรรมจะเป็นจริงได้ต้องรอการมาของ “มุนญีย์อาลัม” อิมามซะมานอัลมะฮฺดีย์ (อ)
لَقَدْ مَنَّ اللَّهُ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ إِذْ بَعَثَ فِيهِمْ رَسُولًا مِّنْ أَنفُسِهِمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِن كَانُوا مِن قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ
แน่นอนยิ่ง อัลลอฮ์นั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งร่อซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง (อาลิอิมรอน ๓ : ๑๖๔)
دعاء التجلي الأعظم في ليلة المبعث النبوي
اللّـهُمَّ اِنّي اَساَلُكَ بِالتَّجَلِي الاَعْظَمِ
ยา อัลลอฮฺ โปรดสำแดงอานุภาพอันยิ่งใหญ่ในค่ำคืนแห่งบิอฺษะฮฺ
โลกและสรรพสิ่งทั้งมวลบนโลกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่สำแดงถึงอานุภาพความยิ่งใหญ่ของพระองค์ทั้งสิ้น
แต่ تجَلِي الاَعْظَمِ “ตะญัลลียุลอะซ็อม” ในที่นี้หมายถึง “การบิอฺษะฮฺ “ศาสดามุฮัมมัด” ให้เป็นศาสนทูตของพระองค์”
และนิอฺมะฮฺที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับมนุษยชาติคือ “นิอฺมะฮฺฮิดายะฮฺ”
لَقَدْ مَنَّ اللَّهُ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ
“มันนะ” วะ “นะมุนนุ” “มินนะฮฺ” หมายถึงบุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีต่อเราและมนุษยชาติทั้งหลาย ในบรรดานิอฺมัตความโปรดปรานทั้งหลาย ไม่มีนิอฺมัตใดที่พระองค์จะทวงบุญคุณจากเราจากมนุษยชาติ นอกจาก “บุญคุณที่พระองค์ทรงประทานศาสดามาให้กับผู้ศรัทธา”
وَنُرِيدُ أَن نَّمُنَّ عَلَى الَّذِينَ اسْتُضْعِفُوا فِي الْأَرْضِ وَنَجْعَلَهُمْ أَئِمَّةً وَنَجْعَلَهُمُ الْوَارِثِينَ
และเราปรารถนาที่จะประทานความโปรดปรานแก่ “มุสตัฎอะฟีน” บรรดาผู้อ่อนแอบนหน้าแผ่นดิน และเราจะทำให้พวกเขาเป็น “อิมาม อะอิมมะฮฺ” ผู้นำ และทำให้พวกเขาเป็น “วาริษีน” ผู้สืบทอดมรดก” (อัลเกาะศ็อศ ๒๘ ๕)
لَقَدْ مَنَّ اللَّهُ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ
โองการนี้เกี่ยวกับมินนัตนุบูวัต นิมัตริสาลัต และเชื่อมโยงกันมินนัตอิมามัต การประทานอิมามหลังจากนบี
จะเห็นได้ว่าพระองค์ไม่ต้องการวางบุญคุณในนิอฺมัตทั้งหลาย ยกเว้นนิอฺมัตนุบูวัต
وَإِن تَعُدُّوا نِعْمَةَ اللَّهِ لَا تُحْصُوهَا ۗ
“มาตรว่าสูเจ้าจะนับนิอฺมัตความโปรดปรานของอัลลอฮ์ สูเจ้าไม่สามารถคำนวณนับได้หมดหรอก” (อันนะห์ลุ ๑๖ : ๑๘)
พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะทวงบุญคุณในทุกนิอฺมัตที่ประทานแก่เรา ยกเว้น “บิอฺษะฮฺ” การประทานท่านศาสดา “นุบูวะฮฺ” และหลังจากนั้นคือนิอฺมัต “อิมามะฮฺ” การที่พระองค์ทรงประทาน “อิมาม” หลังจากท่านศาสดา แล้วในวันกิยามะฮฺพระองค์จะทรงทวงถามเราท่านทุกคน
مَن رَبُك و من نَبيُك و من اِمامُك
“ใครคือ “ร็อบ” พระผู้อภิบาลของเจ้า ? ใครคือนบีของเจ้า ? และใครคืออิมามของเจ้า ?”
ปราศจากนุบูวะฮฺ ปราศจากอิมามะฮฺ ฮิดายะฮฺจะเกิดขึ้นไม่ได้ ไปไม่ถึงครึ่งทาง ไปไม่ถึงดวงดาว (คิดจะไปมะดีนะฮฺ เครื่องพาลงจอดแถว ๆ ย่างกุ้ง)
وَأَشْرَقَتِ الْأَرْضُ بِنُورِ رَبِّهَا ﴿٦٩﴾
“และแผ่นดินจะเป็นประกายด้วย “นูรฺ” รัศมีแห่ง “ร็อบ” พระผู้อภิบาลของมัน” (อัซซุมัร ๓๙ : ๖๙)
นูรรัศมีของดวงตะวันที่ส่องประกายให้เราทุกวัน คือการสำแดงถึงนูรรัศมีของการมีอยู่ของนุบูวะฮฺและอิมามะฮฺ ด้วยเหตุนี้ ไม่มีนิอฺมัตใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่านิอฺมัตฮิดายะฮฺ ฮิดายะฮฺจาก “ญะฮฺล์” ความโง่เขลาเบาปัญญา ไปสู่ “อักล์” สติปัญญา และ “ตะอักกุล” การคิดใคร่ครวญ จากความมืดมนทางสติปัญญา ไปสู่ “นูรฺ” แสงสว่าง “อิลม์” ความรู้ และ “มะอฺริฟะฮฺ” การรู้จัก จาก “ซุลม์” ความอธรรม การกดขี่ข่มเหง ไปสู่ “อะดาละฮฺ” ความยุติธรรม จากญาฮิลความอวิชชา ไปสู่คุณค่า “อิลาฮีย์” คุณค่าตามที่พระองค์ทรงประสงค์
มนุษยชาติได้รับการเรียกร้องเชิญชวนจากศาสดา (ศ) ให้หนีออกมาจากความมืดมนอนธการของ “ชิรฺก์” การบูชาเจว็ด มาสู่การเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากทุกพันธนาการไปสู่ความเป็น “เสรีชน” ที่แท้จริง
ไม่มีอารยธรรมใดจะสูงส่งและยิ่งใหญ่ไปกว่าอารยธรรมที่ผ่านกระบวนทัศน์ในทางศาสนา และไม่มีศาสนาใดที่จะสูงส่งที่จะสร้างอารยธรรมให้กับมนุษยชาตินอกจาก “อิสลาม”
ด้วยกับการปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ทั้งในสิ่งที่เป็น “วาญิบ” ต้องปฏิบัติ และในสิ่งที่เป็น “ฮะรอม” ที่ต้องละทิ้ง จะหล่อหลอมและขัดเกลามนุษย์ให้ผ่องแผ้วไต่ไปสู่ระดับมลาอิกะฮฺ
ด้วยเหตุนี้ที่ท่านนบีจึงถูกขัดขวางทุกวิถีทาง เพราะไปขัดขวางผลประโยชน์ของเหล่าทรราชทั้งหลาย แค่ “ฮิญาบมุสลิมะฮฺ” เพียงตัวอย่างเดียวก็น่าจะเพียงพอและทำให้มองเห็นภาพ ที่ซาตานตะวันตกกลัวนักกลัวหนาว่าจะทำให้รายได้ผลประโยชน์จากเสื้อผ้าเครื่องสำอางค์ทั้งหลายขายไม่ออกในหมู่ประชาชาติอิสลามที่มีมากกว่า ๑,๕๐๐ ล้านคน
ธงชัยอิสลามที่กำลังโบกสะพัดในรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน คือผลผลิตจากการ “ดะอฺวะฮฺ” ของท่านนบี (และอะอิมมะฮฺมะอฺศูมีน) ปราศจากการยึดโยงกับ “บิอฺษะฮฺ” และ “ฆ่อดีรฺคุม” และ “อาชูรอ” การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านจะไม่มีทางประสบความสำเร็จ
หลังการปฏิวัติ ท่านอิมามโคมัยนีย์ ได้ดะอฺวะฮฺเรียกร้องประชาชาติชาวอิหร่านและผู้คนที่คล้อยตาม ให้ทำตัวเป็น “อับด์” บ่าวที่ดีของพระองค์ ดะอฺวะฮฺให้ไปสู่ “อะดาละฮฺ” การรักความยุติธรรมและทำตัวเป็นผู้ที่มีความยุติธรรม ดะอฺวะฮฺให้หลีกห่างจาก “ตับอีฎ” การเบ่งชนชั้น เบ่งเผ่าพันธุ์ เบ่งเชื้อชาติ เบ่งในเรื่องสายตระกูล นี่คือผลลัพธ์จาก “บิอฺษัตนบี” ที่ท่านอิมามนำมาสานต่อ
ธงชัยที่โบกสะบัดจะต้องปราศจาก “ซุลม์” การกดขี่ การอธรรม จะต้องกล้าเผชิญหน้ากับมหาอำนาจ กล้ายืนหยัดท้าทายกับพวกสวาปามทั้งหลาย จะต้องปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน ไม่ว่าเขาจะเป็นมุสลิมหรือน็อนมุสลิมก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ ท่านเราะฮฺบัรผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันจึงสรุปในประโยคสั้น ๆ “ท่านอิมามคือผู้ที่ต้องการปฏิวัติ ปฏิรูป เปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ “อะดาละฮฺ” ความยุติธรรม”
ไม่มีประเทศใดในปัจจุบันที่ประชาชนจะมีอิสรภาพ เสรีภาพเท่ากับในรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน รัฐอิสลามที่กล้าเผชิญหน้ากับพวกสวาปามโลก รัฐอิสลามที่กล้าประกาศเจตนารมณ์เสรีว่าประชาชาตินี้ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้แอกทั้งจากตะวันออกและตะวันตก และกล้าที่จะประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำทั้งในทางคำพูดและการปฏิบัติว่าจะยืนหยัดเคียงข้างประชาชาติมัซลูมปาเลสไตน์นับตั้งแต่วันแรกแห่งการปฏิวัติอิสลามตราบถึงทุกวันนี้เป็นเวลากว่า ๔๕ ปี
ณ วันนี้รัฐอิสลามอิหร่านเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจจากประชาชาติปาเลสไตน์และประชาชาติที่รักความเป็นธรรมและรักในคำว่า “เสรีชน”
ในขณะที่รัฐอิสลามอิหร่านประกาศสิ่งนี้มาเป็นเวลา ๔๕ ปี ถามว่ามีรัฐบาลประเทศไหนบ้างที่ทำเช่นนี้ ? ทำไมพวกมันจึงไม่คิดที่จะให้ความช่วยเหลือพี่น้องปาเลสไตน์อย่างเป็นรูปธรรม ? ท่านผู้นำสูงสุดของเราเคยกล่าวเสมอว่า “พวกมันพูดแค่ลมปาก แต่ไม่เคยปรากฏในทางปฏิบัติ” นอกจากรัฐอิสลามแล้วยังมีรัฐบาลประเทศ
Ref:Risalah Qomi