ความเดียวดายในประวัติศาสตร์ของบรรดาอิมาม คือ หนึ่งในความปรารถนาอันยาวนานซึ่งต้องการให้คลี่คลายในสังคมนี้ ความเดียวดายของอิมามไม่เคยยุติและสิ้นสุดลงเลยในช่วงชีวิตของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ทว่าในหลายศตวรรษที่ผ่านมาการไม่สนใจพิจารณาถึงมิติอันสำคัญยิ่งและเป็นไปได้ว่ารากฐานหนึ่งในชีวิตของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ คือสิ่งที่มอบความโดดเดี่ยวในประวัติศาสตร์ให้แก่พวกเขาการปกปิดองค์ประกอบและปัจจัยการต่อสู้ในเชิงการเมือง
เป็นที่เรื่องชัดเจนว่า มีหนังสือและงานเขียนมากมายตลอดหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งมีคุณค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ถูกบันทึกไว้ เพราะพวกเขาสามารถถ่ายทอดและฝากฝัง กลุ่มรีวายัตจำนวนหนึ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมวดหมู่ชีวิตของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ให้แก่อนุชนในภายภาคหน้าได้สำเร็จ แต่ทว่าในองค์ประกอบและปัจจัยการต่อสู้ซึ่งขีดเส้นไว้อย่างต่อเนื่องในชีวิตทางการเมืองของอะอิมมะตุลฮุดา (เหล่าอิมามผู้ชี้นำ)ตลอดระยะเวลา 250 ปี ในแง่ของหะดิษและรีวายัตและการอรรถาธิบายสถานการณ์และสภาวะในเชิงวิชาการและจิตวิญญาณกลับเป็นสิ่งที่เลือนหายไป
แนวคิดเรื่องมนุษย์ 250 ปี
วิถีชีวิตของบรรดาอิมาม เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องศึกษาในฐานะของบทเรียนและแบบอย่าง ไม่ใช่เพียงเพื่อระลึกถึงความหลังอันมีคุณค่า และการนี้หากปราศจากการมุ่งเน้นพิจารณาวิถีและอัตลักษณ์ทางการเมืองของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น มันจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
บ่าวของอัลลอฮผู้นี้ (หมายถึงตัวท่านเอง เป็นลักษณะการเรียกตัวเองในภาษาฟารซีเพื่อแสดงความถ่อมตนต่อพระผู้เป็นเจ้า)โดยส่วนตัวแล้ว มีความชื่นชอบที่จะค้นคว้ามิติและแง่มุมต่างๆในชีวิตของบรรดาอิมาม และมันไม่ใช่เรื่องแย่เลยที่จะเสนอว่าความคิดดังกล่าวบ่าวได้พบมันในปี 1350 (ตรงกับปีพศ.๒๕๑๔ ไทย)ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยการทดสอบและความยากลำบาก
แม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าจะมุ่งให้ความสำคัญต่อบรรดาอิมามในฐานะนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งเสียสละตนเองในแนวทางของการเกิดวัจนะแห่งเตาฮีดและการสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบการปกครองของพระผู้เป็นเจ้า ทว่าจุดหนึ่งซึ่งได้เผยให้แก่ข้าพเจ้าในทันทีทันใดก็คือ ชีวิตของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นซึ่งมีความแตกต่างกันโดยซอฮิร (ผิวเผิน)และอาจจะดูเหมือนมีความขัดกันในบางแง่มุมชีวิตของพวกเขา โดยแท้ที่จริงแล้วมันคือองค์รวมหนึ่งเดียวซึ่งได้ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและยาวนานซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ ฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 11 และสืบสานต่อใน ฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 250 และสิ้นสุดลงในฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 260 ซึ่งเป็นช่วงการเริ่มต้นของฆัยบัตซุกรอ (การเร้นกายช่วงแรกของอิมามมะฮ์ดี)
พวกเขาเหล่านี้เป็นหนึ่งเดียวกัน มีทิศทางและมุ่งไปในทางเดียวกัน คือคนๆเดียวกัน และไม่อาจกังขาได้ เป้าหมายและทิศทางของพวกเขาคือสิ่งเดียวกัน ดังนั้นแทนที่เราจะวิเคราะห์ชีวิตของอิมามฮะซันโดยแยกจากชีวิตของอิมามฮูเซน หรือ ชีวิตของอิมามฮูเซน โดยแยกจากชีวิตของอิมามซัจญาด จนนำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดพลาดซึ่งชีวิตของอิมามทั้งสามท่านเนื่องด้วยในทางซอฮิร จะดูราวกับเหมือนเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน แทนที่จะวิเคราะห์เช่นนั้นเราควรพิจารณาในฐานะบุคคลผู้เดียว ซึ่งมีชีวิตถึง 250 ปี ซึ่งได้เริ่มก้าวเดินตั้งแต่ฮิจเราะฮ์ที่ 11 และอยู่ในหนทางนี้จนถึงฮิจเราะฮ์ที่ 260 หากพิจารณาทุกการเคลื่อนไหวของมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ด้วยมุมมองนี้ จะทำให้เกิดความเข้าใจและการใคร่ครวญ
ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้พบกับสติปัญญาและวิทยปัญญา แม้ว่าเขาจะไม่ใช่มะศูม ย่อมต้องมีเทคนิคและปัจจัยต่างๆอยู่เสมอ บางครั้งเป็นไปได้ว่าเขาจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเฉียบพลัน และบางครั้งอาจเคลื่อนไหวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือในบางครั้งอาจล่าถอยอย่างมีเหตุผล ทว่าแม้แต่การล่าถอยนั้นสำหรับผู้ที่ความรู้และปัญญาได้มอบทิศทางแก่เขานั้น มันคือการรุดหน้าสำหรับพวกเขา ด้วยมุมมองนี้ ทั้งวิถีชีวิตของอมีรุลมุอฺมีนีน กับวิถีชีวิตของอิมามมุจตะบา(อ) ชีวิตของอบีอับดิลลาฮ และควบคู่ไปกับวิถีชีวิตของอิมามแปดท่านที่เหลือ จนถึงปี 260 ล้วนเป็นความเคลื่อนไหวเดียวที่มีความต่อเนื่อง ข้าพเจ้าเข้าใจสิ่งนี้ในปีนั้น และข้าพเจ้าก็ได้เข้าไปสู่ชีวิตของพวกเขาด้วยมุมมองนี้ หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้พิจารณาอีกครั้งหนึ่งและไม่ว่าจะรุดหน้าไปเพียงใด แนวคิดนี้ก็ได้รับการรับรองอยู่เสมอ
แน่นอนว่า การเปิดประเด็นเรื่องนี้ไม่เพียงพอสำหรับการบรรยาย(มัญลิซ)เดียว ทว่าการให้ความสนใจต่อวิถีชีวิตต่อเนื่องกันของเหล่ามะศูมผู้ทรงเกียรติจากอะฮลุลบัยต์ของท่านศาสนฑูตแห่งอัลลอฮ,ควบคู่กันไปกับการมีทิศทางเดียวกันในทางการเมือง จะช่วยนำไปสู่การเปิดหัวเรื่องและภาคบทที่เป็นเอกเทศออกมา ซึ่งในวันนี้ข้าพเจ้าจึงจะนำเสนอประเด็นนี้ ในสาส์นเมื่อปีที่แล้ว ข้าพเจ้าได้ชี้ถึงการต่อสู้ทางการเมืองในวิถีชีวิตของบรรดาอะอิมมะฮ์ และในวิถีชีวิตของอิมามท่านที่แปด(อิมามริฎอ) อินชาอัลลอฮ วันนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องการที่อธิบายและแจกแจงในประโยคดังกล่าว